วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562

กล้อง Full Frame กับ กล้องตัวคูณ มีผลกับภาพยังไง


หลายท่านอาจจะยังสับสน หรือยังไม่เข้าใจเรื่องกล้อง Full Frame กับ กล้องตัวคูณ ว่าต่างกันยังไง แล้วมีผลยังไงกับเรื่องระยะ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ ครับ

เซ็นเซอร์กล้องมี 2 แบบที่เรียกกัน คือ กล้อง Full Frame กับ กล้องตัวคูณ ทีนี้มันก็จะแยกกันไปอีกนิดหน่อย..



กล้อง Full Frame กับ APS-C โดยยึดขนาดเซ็นเซอร์ในการเรียกชื่อแต่ละประเภท


1.กล้อง Full Frame (ขอเรียกย่อๆ ว่า FF) คือกล้องที่มีขนาดเซ็นเซอร์เท่ากับฟิล์มขนาด 35 mm. พูดง่ายๆ ก็คือขนาดเซ็นเซอร์เท่ากับฟิล์มน่ะแหละ.. (ง่ายไปมั้ย)

ข้อดีคือ ไฟล์คุณภาพจะดีกว่า Noise (หรือเม็ดภาพแตกๆ) จะน้อยกว่า มีความสามารถในการเก็บรายละเอียดได้ดีกว่ากล้องขนาดอื่น และเมื่อใช้กับเลนส์ระยะเท่าไหร่ก็ตาม (ของเลนส์ Full Frame) ระยะจะเป็นตามนั้น เช่น ใช้เลนส์ 50 mm ภาพก็จะออกมาเป็นระยะ 50 mm ไม่ต้องคูณระยะใดๆ

ข้อเสียคือ แพงกว่า และหนักกว่า เพราะเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่กว่า กล้องตัวคูณ จบ..

2.กล้องตัวคูณ คือกล้องที่มีขนาดเซ็นเซอร์เล็กลงมา กว่ากล้อง Full Frame ซึ่งจะแบ่งเป็นหลายขนาดหลายชื่อ เช่น กล้องขนาด APS-H, กล้องขนาด APS-C และกล้องขนาด M4/3 ซึ่งแต่ละขนาดจะมีการคูณระยะไม่เหมือนกัน

-กล้องขนาด APS-H ต้องคูณ 1.3 เพื่อให้ได้เท่ากับระยะกล้อง FF (อยู่ในกล้อง Canon 1D Mark IV) เมื่อใส่กับเลนส์ 50 mm จะเท่ากับ 50 x 1.3 ระยะที่เทียบเท่ากล้อง FF คือ 65 mm



Sensor จากกล้อง Canon 1D จะใช้ชื่อเรียกว่า APS-H เพียงตัวเดียว



-กล้องขนาด APS-C ต้องคูณ 1.5 เพื่อให้ได้เท่ากับระยะกล้อง FF (ยกเว้นใน Canon ยี่ห้อเดียว ต้องคูณ 1.6) เมื่อใส่กับเลนส์ 50 mm จะเท่ากับ 50 x 1.5 ระยะที่เทียบเท่ากล้อง FF คือ 75 mm (แต่ถ้าใช้กับ Canon จะกลายเป็น 50 x 1.6 = 80 mm)

-กล้องขนาด M4/3 ต้องคูณ 2 เพื่อให้ได้เท่ากับระยะกล้อง FF เมื่อใส่กับเลนส์ 50 mm จะเท่ากับ 50 x 2 ระยะที่เทียบเท่ากล้อง FF คือ 100 mm




เทียบระยะของภาพด้วยเลนส์ 50mm กับการใช้ขนาด Sensor ในกล้องที่แตกต่างกัน


ซึ่งเลนส์ที่มีตัวเลขยิ่งเยอะ องศาการรับภาพจะยิ่งแคบ เช่น ระหว่างเลนส์ 50 mm กับ 100 mm

"เลนส์ 50 mm จะกว้างกว่าเลนส์ 100 mm.."

แล้วคูณเพื่ออะไร คูณทำไม อธิบายง่ายๆ ช้าๆ นะครับ อันนี้ค่อยๆ อ่านนะ...

ก็คือสมมุติเราใช้เลนส์จากกล้อง Full Frame ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่กว่ากล้องตัวคูณ เลนส์ก็จะต้องมีขนาดใหญ่ตาม ดังนั้นไม่ว่าเลนส์จะมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ตาม..




การครอปเซ็นเซอร์ในภาพ ไม่ว่าเลนส์จะมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ตาม เซ็นเซอร์มันรับได้เท่านี้ไง ก็คือการคูณ 1.5 เข้าไปนั่นเอง


เซ็นเซอร์จากกล้องตัวคูณที่มีขนาดเล็กกว่า ก็จะมีพื้นที่ของเซ็นเซอร์เล็กกว่า เลยเก็บภาพได้เล็กกว่า หรือเรียกว่าเก็บภาพองศาได้น้อยกว่า ภาพก็จะแคบไปโดยปริยาย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเรียกว่า "กล้องตัวคูณ"

อ่ะ..ยังสงสัย ลองอ่านซ้ำๆ อีกครั้งครับ..

สรุปง่ายๆ กล้อง FF จะมีระยะเท่าเลนส์ที่ใช้เลย (ต้องใช้กับเลนส์ FF เท่านั้น) กล้องตัวคูณองศาภาพจะแคบกว่าเลนส์ FF ถ้าใช้เลนส์ระยะเท่ากัน เช่น ถ้าเอาเลนส์ 50 mm ไปใส่ในกล้อง FF ภาพจะเท่ากับ 50 mm เลย แต่ถ้าเอาไปใส่ในกล้องตัวคูณ ระยะจะแคบลงทันที อาจกลายเป็น 65 mm, 75 mm , 100 mm ขึ้นอยู่กับขนาดของเซ็นเซอร์อีกที (พวก APS-H, APS-C, M4/3 ตามลำดับ)

เอาแค่นี้ไปก่อนละกันนะครับ ถ้าใครยังสงสัยอะไรอีก ก็ถามได้นะครับ ถ้าเกิดยังไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะทำภาพให้ชัดเจนขึ้นกว่านี้ครับ

ปล.การให้ความรู้ และการแบ่งปันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าให้ความรู้ที่ไม่ถูกต้อง หรือความรู้แบบผิดๆ จะกลายเป็นโทษมหันต์สำหรับคนที่ได้รับไปนะครับ ขออนุญาตฝากไว้ซักนิดหนึ่ง ด้วยความเคารพครับ 😊

ปล.2 ภาพตัวอย่างประกอบให้ดูคร่าวๆ ถึงระยะต่างๆ ที่เปลี่ยนไปกับขนาดเซ็นเซอร์แต่ละประเภทในเลนส์ 50 mm (ไม่ได้วัดขนาดจริง เป๊ะ 100% ครับ)
ตอนนี้ผมเปิดเพจสอนถ่ายภาพ

https://www.facebook.com/MasterClassAthur 

แล้วนะครับ ใครสนใจติดตามเทคนิค และการถ่ายภาพให้สวย เข้าไปกด Like Page และติดตามกันด้วยนะครับ

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ห่างหายกันไปนานคิดถึง blog แห่งนี้น่าดูครับ

คิดถึง blog แห่งนี้มากมายครับ พื้นที่ความเป็นส่วนตัวที่เราสามารถแสดงออกทางความคิดและแสดงสิทธิเสรีภาพของเราได้อย่างเต็มที่ ขอเวลาอีกซักพักเดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาเขียนบล็อกให้บ่อยขึ้นตามโอกาสอำนวยนะครับ ใครที่อยากถ่ายภาพให้เก่งขึ้น อยากรู้เทคนิคอะไร ผมไม่ค่อยมีเวลามาเขียนบล็อก ก็ติดต่อผมผ่านเฟซบุ๊คของผมได้เลยนะครับ www.facebook.com/athurlouisephoto

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การทำ motion tracking ใน motion 5

วันนี้ผมก็จะมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการทำ motion tracking ในโปรแกรม motion 5 มาจากตระกูล Final Cut X นะครับ ต้องเกริ่นก่อนว่าผมลองมาทำวีดีโอดูแล้วหาวิธีการสอนทำ motion tracking ยากมากมายครับ หาไม่มีเลย ยิ่งเป็นของคนไทยด้วยแล้วนี่ไม่เห็นเลยครับ ทีนี้เลยลองทำตามฝรั่งท่านหนึ่งครับ แล้วก็ลองทำเป็นคลิปวีดีโอมาให้ดูกัน ยังไงก็ติชมกันได้นะครับ




หรือไม่ก็ลิ้งค์นี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยามเมื่อลมพัดหวน

ทั้งงานและเวลาต่างๆ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยในการดำเนินบล็อกนี้ให้ต่อเนื่องไปได้ซักเท่าไหร่ แต่วันนี้อากาศดีจริงๆ ขอแวะมาเขียนซักนิดเถอะ

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกรากไหลไปไม่ย้อนกลับ ได้แต่นึกถึงภาพวันวานในอดีตตั้งแต่เริ่มจับกล้องจนถึงปัจจุบัน ภาพเหตุการณ์มันเร็วจริงๆ ตั้งแต่สมัยการใส่ฟิล์ม การถ่ายรูป การม้วนฟิล์มเข้าโรล การล้างฟิล์มในห้องมืด ใช้น้ำยาดีเวลอปเปอร์ สต๊อปเปอร์ ทุกสิ่งล้วนสร้างสมประสบการณ์และการเรียนรู้เป็นกระบวนการนำพาสู่ปัจจุบัน แต่สมัยนี้ไม่มีร่องรอยการใช้ฟิล์มให้เห็นอีกแล้ว ยังคงมีคนเพียงไม่ถึง 5% ทียังใช้ฟิล์มบันทึกความทรงจำ ซึ่งคนเหล่านั้นก็ใช้เป็นงานส่วนตัวมากกว่าการทำงานให้ลูกค้าแน่นอน

ครั้นแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์โรงงาน Polaroid ที่ปิดตัวไปในปี 2009 ทำให้พนักงาน 450 คนว่างงานในนิตยสารชื่อดังใช้สัญลักษณ์ดอกจัน ภาพขาวดำที่ถ่ายโรงงานมาเห็นแล้วยังจำอยู่ในหัว มันดูได้อารมณ์มากมาย และก็ต้องขอบคุณบริษัท Impossible Project ที่สืนสานเจตนารมย์ของผู้คนทั่วโลกที่ยังรักในอารมณ์ฟิล์มโพลารอยด์ ทำให้ยังได้เห็นคนใช้ fuji instax กันต่อไป

ภาพในหัวยังคงวิ่งมาอย่างไม่หยุด ยังพรั่งพรูออกมามากมายสุดจะพรรณา ภาพวันแรกที่ได้ทำงานหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยในบางแสน ไม่สิต้องเป็นภาพตอนรับปริญญาก่อนด้วยสิ ผู้คนมากมายล้วนมาแสดงความยินดี ร่วมชื่นชมกับพวกเรา แต่วันนั้นแหละคือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในโลกที่ถูกหุ้มด้วยปีก อันบอบบางจากผู้บังเกิดเกล้าที่พร้อมจะปกป้องเราแม้จะเป็นสายฝนโปรยปรายหรือแสงแดดร้อนกล้า และก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่โหดร้ายที่พร้อมจะทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ ไม่มีการปราณีประนีประนอมใดใด โลกที่ห้ำหั่นเราด้วยสายตาในด้านหน้า และทำร้ายด้วยคำพูดเมื่อเราหันหลัง จากเด็กไม่ประสีประสาเริ่มแก่กล้าในวิชาตามประสบการณ์และความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ผมยังจำได้ดี

ในตอนนี้งานถ่ายภาพไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนที่เริ่มหยิบกล้อง และทำงานให้กับลูกค้าอื่นๆ คงเปรียบเสมือนถ้าเรารู้และเข้าใจรวมถึงรักในสิ่งที่ทำ ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องกลัวและกังวลใจกับมันอีก

ยามเมื่อลมพัดหวนกลับมาคราวหน้า ซึ่งก็ยังไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน ถึงตอนนั้นชีวิตจะเป็นไปในทางใด ก็อย่าได้ไปใส่ใจ ขอเพียงคิดดีทำดีเป็นคนดีและเป็นลูกที่ดีของคุณแม่ด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯภาค 2

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง(ของใคร) หายหน้าไปนานกันเลยทีเดียวครับ ติดภารกิจหลายอย่างมากมาย มาคราวนี้ก็แน่นอนครับผมจะมาเล่าถึงเรื่องขากลับ แบบภาพพร้อมคลิปวีดีโอด้วยครับ

วันนั้นเรารีบไปถึงก่อนชั่วโมงครึ่งครับ รีบเดินทางกันไม่รู้สายการบินนี้จะเป็นยังไง พอไปถึงก็เวลาเหลือเฟือครับชม.นึงได้ ก็เลยไปเดินถ่ายรูปสนามบินซะหน่อย ภายนอกตึกก็ดูเรียบๆ ครับ เสียดายมากช่วงนั้นฟ้าไม่เป็นใจเอาซะเลย การถ่ายภาพพวกตึกหรืออาคารภายนอกสำคัญมากเรื่องของท้องฟ้าครับ ยิ่งช่วงไหนมีเมฆมากบอกได้คำเดียวว่า"เซ็ง" อยากได้ฟ้าครามๆ น้ำเงินๆ ซึ่งผมเป็นอะไรที่เจอแบบตรงข้ามประจำ



อ้อ ผมลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ การถ่ายภาพนอกสถานที่สำคัญเรื่องของทิศมากครับ ทิศทางของแสงและทิศของท้องฟ้าครับ การจะถ่ายภาพท้องฟ้าให้สวยเนี่ย ถ้าพระอาทิตย์อยู่เยื้องไปทางด้านหลังยิ่งทำให้เราสามารถถ่ายท้องฟ้าออกมามีสีเข้มครับ หรือไม่ก็เยื้องๆ ซัก 45 องศาครับ แต่จริงๆ เป็นการกะเอานะครับ คงไม่มีใครเอาไม้โปรไปวัดองศาใช่มั้ย....



ระหว่างนั้นก็เดินไปเจอป้ายแผนที่บอกจุดท่องเที่ยวในตัวจังหวัด ก็เลยถ่ายมาให้เพื่อนๆดูครับ เผื่อมีใครจะมาเที่ยวที่นี่จะได้ดูจากแผนที่นี้ไปก่อนเลย


เดินเข้ามาก็จะมีเครื่องเอ็กซเรย์กระเป๋าครับ แต่ผมไม่กล้าถ่ายกลัวโดนจับ ข้อหาแอบถ่ายในที่สาธารณะ (เกี่ยวกันป่าว ><) เดินเลยเครื่องมาก็เห็นความอลังการนิดๆ เน้นว่านิดๆ ของสนามบินครับ เลยถ่ายเสยเลย รูปในนี้นี่ผมปรับ ISO สูงขึ้นมาถึง 800 ครับ ใช้ขาตั้งกล้องมันก็คงจะลำบากไปหน่อย เลยดัน ISO เอาครับ


ทางด้านขวาก็จะเป็นช่องจำหน่ายตั๋ว orient thai ครับ จะสังเกตุได้ว่ามีคุณลุงท่านหนึ่งไม่รู้เป็นตำรวจสนามบินรึเปล่า หรือแอบชอบผมหว่ายืนมองผมซะจนเขินเลยทีเดียว #^^#


นี่ก็เป็นรูปภายในสนามบินนะครับ ดูเหมือนกว้างแต่จริงๆ แล้วลักษณะตึกจะยาวครับ ความกว้างจะน้อยมากครับ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าแคบก็ได้ครับ


ชอบสโลแกนจัง Do it by heart ดีนะ ไม่เป็น heard ไม่งั้นคงใช้หูทำงานแทนแน่เลย 5555


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องครับ อ้อ ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ทำไมในรูปมันอมเหลืองกันจัง ต้องบอกว่า ผมไม่ได้ปรับองศาเคลวินให้มันออกฟ้านะครับ อยากให้สถานที่มันออกเหลืองๆหน่อย ส่วนตัวเป็นคนชอบรูปโทน warm ครับ (จริงๆ ขี้เกียจปรับตะหาก ^^!)

นี่ก็เป็นห้องรับรองผู้โดยสารนะครับ นั่งรอเครื่องบินมาจอดป้ายครับ ก่อนจะเดินไปขึ้นกันเครื่อง ห้องนี้ดูโอ่อ่าดูดีเชียวครับ กว้างดีจริงๆ


ที่สนามบินดอนเมืองจะไม่ค่อยกล้าถ่ายมากครับคนเยอะ แต่ที่นี่นี่ผมละเลงยืนถ่ายสบายใจเลยครับ เอามาฝากเพื่อนๆ กัน ไม่ได้ดันสีอะไรมากมาย เดี๋ยวจะสวยเกิน ^o^


และสุดท้ายท้ายสุดก็เป็นคลิปวีดีโอที่ผมตัดต่อขึ้นจากการขึ้นเครื่องบินขากลับนี้นะครับ เดี๋ยวคราวหน้าคิดว่าคงจะทำคลิปที่มีประโยชน์(กว่านี้)แล้วครับ(อันนี้มันก็มีประโยชน์ครับแต่น้อย 555) อาจเป็นการแนะนำวิธีการใช้ Lightroom ก็ได้นะครับ เห็นมีน้องคนนึงถามถึงวิธีการใช้ ซึ่งต้องคอยติดตามนะครับ ว่าแต่เพื่อนๆ อยากให้ผมแนะนำโปรแกรมด้านการถ่ายภาพตัวไหนก็บอกได้นะครับ







ปล.ลืมบอกไปครับว่า ผมค่อนข้างโอเคกับบริการสายการบินนี้นะครับ พนักงานต้อนรับหน้าตายิ้มแย้มดีครับ (ลึกๆ จะด่าไรพวกเราผมไม่รู้หรอกครับ) แต่งานบริการต้องยิ้มเก่งครับ ซึ่งน้องๆ ทำได้ดีครับ (น่ารักด้วยครับ) ^^ อ้อ ผมหน้ายังเป็นมนุษย์ไม่ใช่หน้าม้านะครับ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯ

ในที่สุดการเดินทางจากกรุงเทพมหานครอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมไปยังภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไปถ่ายงานบวชให้กับน้องชายก็สิ้นสุดลงครับ เป็นทริปที่เหนื่อยมาก แล้วก็สนุกมาก และที่สำคัญอิ่มบุญมากมายครับ ก็เลยนำผลบุญมาฝากเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้กันด้วยนะครับ

ต้องขอบอกอย่างตรงไปตรงมาและไม่อายเลยครับว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นเครื่องบินครับ ช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร(ทำเสียงหล่อ) ตอนเดินก้าวขึ้นเครื่องนั่งบนเก้าอี้ ต้องยอมรับครับว่าทั้งหนังทั้งเรื่องต่างๆ รวมถึงข่าวสารที่เกี่ยวกับเครื่องบินในแง่ต่างๆ (โดยเฉพาะแง่ลบ ที่คุณก็รู้ว่าหมายถึงอะไร) พรั่งพรูเข้ามาใส่หัวสมองผมเต็มไปหมด เริ่มจิตตกพอควรครับ เสียวๆ อยู่เหมือนกัน (ก็แหมหนังฮอลลีวู้ดแต่ละเรื่องมันช่างถ่ายทำมาได้สมจริงสมจังจนติดตาจริงๆ นี่นา) แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกของช่างภาพอย่างผมไปทั้งทีจะไปเปล่าๆ ได้อย่างไรกัน ก็ถือว่าวันนี้ผมจะพาทุกท่านเที่ยวชมสนามบินดอนเมือง(ในปัจจุบัน) แล้วก็พาขึ้นเครื่องบินไปด้วยกันจนกระทั่งแลนดิ้งลงจอดเลยดีกว่าครับ แต่เดี๋ยวก่อน....เพียงคุณโทรเข้ามาในรายการ เอ๊ย....ไม่ใช่....ผมไม่ได้มาเล่าการเดินทางของผมอย่างเดียวนะครับ อยากให้มีอะไรติดไม้ติดมือจากการเดินทางไปกับผมครั้งนี้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจะแนะนำการถ่ายภาพแต่ละมุมแล้วก็บอกรายละเอียดการถ่ายภาพของผมไปทีเดียวละกันนะครับ เริ่มน่าสนใจนิดๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ พร้อมแล้วก้าวตามผมขึ้นมาเลยครับ

ผมเชื่อว่าหลายคนที่เคยนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านครั้งแรกกันมาแล้ว(ก็ถูกแล้วจะพูดทำไมว้า!) น่าจะจำความรู้สึกกันได้ดีนะครับ ว่ามันน่าตื่นเต้นขนาดไหน ยังเสียวไม่หายเลยครับ แต่สะดวกรวดเร็วมากมายจริงๆ จากขับรถเดินทาง 10 ชม. เหลือแค่ชั่วโมงเดียว เรามาออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มต้นรูปแรกเป็นประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกนะครับ ผมไปถึง 11.50 . กะว่าจะไปเช็คอินก่อนชิลชิลซักชม.ครึ่งเพราะตามกำหนดการเครื่องออกตอน 12.30 แต่ที่ไหนได้ครับ ดัน delay ไป 1 ชม.ครับ นั่งรอเก้อกันเลยทีเดียว รูปแรกนี้มีรถแท๊กซี่จอดขวางอยู่เต็มไปหมดรอซักพักก็ออกบ้างจอดบ้าง เลยถ่ายมาติดแท๊กซี่นิดหน่อยครับ


นี่เป็นรูปประตูทางเข้าหน้าตรงครับ มีนางแบบประกอบด้วยสองคน ^^ ค่อนข้างคิดถึงบรรยากาศของที่นี่ตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ มาส่งน้าชายทำงานครับ ท่านเป็นมัคคุเทศก์ผมเลยต้องมาส่งท่านเพื่อมารับแขกญี่ปุ่นที่นี่บ่อยมากๆ


เข้ามาถึงก็จะเห็นฝั่งขวามือครับเป็นเค้าท์เตอร์จำหน่ายบัตร แสงในนี้ค่อนข้างมืดครับ จากตอนแรกใช้ iso 200 เข้ามาข้างในต้องดันกันถึง 800 เลยครับ เพื่อเอาสปีดให้พอถือด้วยมือได้ เลนส์ 10-22 นี่ perspective ได้ใจดีจริงๆครับ

ส่วนทางด้านฝั่งซ้ายครับเป็นเค้าท์เตอร์สายการบิน nok air


เดินเข้ามาจากประตูก็ต้องไปทางฝั่งด้านขวาครับ เพื่อไปเช็คอินแล้วก็รับตั๋วครับ ซึ่งจะมีเครื่อง x-ray กระเป๋าก่อนเลย แหม....เปอร์(สเป็กทีฟ) ได้ใจจริงๆ

เมื่อรู้ว่าเครื่องบินดีเลย์ไป 1 ชม.ผมก็แวะไปหากาแฟกินก่อนดีกว่า ก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งมาเจอบ้านนางฟ้าครับ (ไม่ใช่เรยานะครับ)

แหม...นางฟ้ากำลังเดินกันมาเลยทีเดียว แอร์สายการบินนกแอร์นี่เองหรืออีกชื่อเค้าเรียกกันว่าหางเหลืองครับ

และแล้วผมก็เดินเจอร้านกาแฟเพื่อมาหากาแฟเย็นแก้ง่วงซักแก้วจนได้ ร้านนี้แปลกดีครับใช้ชื่อร้านว่า Internet แต่พอถามหา wifi กลับบอกว่ายกเลิกนานแล้วน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Outernet แทน =*=!

นั่งเปิดนู่นอ่านนี่ไปแก้เซ็งฆ่าเวลาครับ นี่เป็นตั๋วเดินทางครับ อ้อลืมบอกไป ครั้งแรกของผมกับน้องโอครับ(โอเรียนท์ไทยนะครับ #^^#)

มาดูบรรยากาศชั้นล่างบ้างดีกว่าครับ อยากจะบอกว่าเงียบเหงาเหลือเกิน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน สนามบินที่เคยคึกคักที่สุดกลับกลายเป็นสนามบินที่เงียบเหงาที่สุดตั้งแต่มีสุวรรณภูมิ จะว่าไปก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่อนิจจังไม่แน่นอน มีเกิดก็ต้องมีดับ เอ๋า...ไปทางธรรมซะได้ #^^#


มาที่นี่ส่ิงหนึ่งที่จะเห็นเยอะพอควรก็คงหนีไม่พ้นป้้ายโฆษณาครับ ซึ่งเห็นแทบจะมีผูกขาดอยู่ป้ายเดียวก็คือของนกแอร์ครับ ไม่รู้จะสร้าง remind branding อะไรนักหนา

ป้ายโฆษณาของนกแอร์นี่ใหญ่ดีจริงๆครับ ถิ่นของเค้าเลยเชียว งบโฆษณาเยอะมาก เหอเหอ



พริตตี้ร้านกาแฟร้านนี้น่ารักจริงๆ #^^#

นั่งจนได้เวลาแล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องกันครับ อันที่มีคาดสีแดงนี่ไปหาดใหญ่ครับ ประกาศขึ้นเครื่องด่วนใหญ่เลย

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้วเราก็เข้าไปห้องสำหรับทางออกขึ้นเครื่องครับ


ข้างในช่างกว้างซะมากมายจริงๆ ครับ ยิ่งใกล้เวลาขึ้นเครื่องก็ยิ่งตื่นเต้นครับ

พอเข้าไปถึงข้างในผมก็เดินหามุมเลยครับ มองออกไปข้างนอกเห็นลานกว้างแต่เครื่องบินไม่อยู่แฮะ ว่าแล้วก็ยิงซักนัดดีกว่า อันนี้ถ่ายทะลุกระจกออกไปนะครับ สภาพแสงภายในกับข้างนอกต่างกันมากครับ ภายในสนามบินที่มีแสงน้อยผมใช้ที่ iso 800 ตลอด แต่พอจะถ่ายข้างนอกก็ต้องลด iso ลงนะครับเหลือแค่ 400 ครับ เน้นเอา f/stop ชัดลึกพอสมควรครับ แต่ไม่อยากให้มีเกรนภาพมาก อย่างในรูปผมใช้ที่ f/14 ครับสปีด 1/80 ช่วงเลนส์ที่ 10 mm กว้างสุดเลยครับ เลนส์ wide ต้องระวังเรื่องการ distortion ของภาพ แต่ด้วยความที่จุดที่ผมยืนเป็นจุดที่สูงครับ ระนาบของกล้องเลยค่อนข้างขนานกับพื้นพอสมควรครับ ทำให้อาการดิสทอชั่นของภาพน้อยครับ

และนี่ก็เป็นเครื่องบินที่ผมจะนั่งมันไปยังปลายทางโดยสวัสดิภาพครับ ซึ่งตอนนั้นเค้ากำลังโหลดของลงจากเครื่องครับ ทำเวลาเร่งกันพอสมควรเพราะดีเลย์ไปตั้ง 1 ชั่วโมงเลยครับ จากจุดนี้เราสามารถเห็นได้เลยครับ ว่าเค้ากำลังโยนกระเป๋ากันอยู่ ไม่ใชคำว่าโหลดกระเป๋านะครับมันสุภาพไปหน่อย รูปนี้ผมถ่ายออกไปจากกระจกนะครับ จะมีกระจกอีกชั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเป็นกรอบพอดี ก็เลยถ่ายออกไปยังงั้นเลยครับ ข้างนอกแสงค่อนข้างสว่างอยู่เลยปรับ ISO ลดลงมาเป็น 200 ครับ แล้วถ่าย 1/30 f/11 ครับ


หลังจากนั้นไม่นานเราก็ก้าวขึ้นเครื่องกันแล้วครับ ข้างนอกฝนตกพอดีเลยครับ พาให้ใจเสียนิดๆ แต่เอาวะสวดมนต์มาเรียบร้อยแล้วไม่เกรงกลัวภยันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ผมนั่งตรงปีกพอดีเลยครับ


ภายในห้องโดยสารครับ เบาะจะไม่ได้กว้างมากมายครับ ก็เป็นที่นั่งธรรมดาแล้วก็เครื่องบินลำเล็กครับ ติดเข่านิดๆ


หลังจากนั่งรอกันอยู่บนเครื่องบินอีกเกือบ 1 ชม. เครื่องก็เริ่มได้เวลาทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ สัญญาณรัดขัดเข็มดังขึ้น ตอนนี้เครื่องบินจะค่อนข้างเหมือน BTS มากๆ หวานเย็นมากมาย เพราะจะค่อยๆ ขับไปจอดตรงจุดทางม้าลายก่อนบินครับ(รู้ละเอียดมากเพราะว่านั่งมองอยู่ตลอด 55555) รู้สึกเพลินๆ ครับตอนนี้ หวานเย็นดี



เมื่อเครื่องบินได้สัญญาณบินก็เริ่มพุ่งขึ้นสู่ฟ้าครับ ความรู้สึกตอนนี้ตื่นเต้นมากๆจริงๆครับ ทั้งเสียงเครื่องบินและความเร็วในการออกตัว ทำไมมันไม่เหมือนเมื่อกี้เลยวะ T^T ทะยานขึ้นเร็วและแรงจริงๆครับ หลังจากนั้น 2-3นาทีเครื่องก็ทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ

สังเกตุเส้นขอบฟ้ากับปีกนะครับ หัวมันชี้ขึ้นแบบได้ใจมากครับ เหอเหอ




จู่ๆ เนื้อเพลงก็ลอยเข้าหูครับ “ผิดก็ทำต่ำก็รู้อยากไปสู่วันที่ดี ให้ชีวิตนี้หลุดพ้นไปจากพื้นดิน ขวากหนามมากน้อยคอยกัน แต่ฝันของฉันคือบิน อยู่บนท้องฟ้าสักวัน” เรยามาเองเลยทีเดียว 55555 ตอนนี้อยู่บนฟ้าแล้วครับ ผมได้บินสมใจแล้ว ^^ ตอนนี้รูปที่ผมถ่ายผมปรับสปีดเป็น ISO 400 1/1000 เลยครับ f/10 เพราะผมไม่รู้เครื่องบินบินเร็วแค่ไหนเลยถ่ายไว้ที่สปีดสูงไว้ก่อนครับ


จากนั้นเราก็บินผ่านหมู่เกาะฮาวาย ตาฮิติ ปาปัวนิวกินี ไปยังศรีลังกาแล้ววนกลับมานครศรีธรรมราช เฮ้ยยย!


หลังจากนั้นเครื่องบินอยู่บนฟ้าซัก 10 นาทีก็มีขนมมาแจกครับ เย้!


แต่เอ๊ะ...นี่น้องพริตตี้ที่ร้านกาแฟนี่ ขึ้นมานั่งติดกับเราเลยแฮะ 5555 #^^#

และแล้วในที่สุด เราเดินทางมาเกือบชม.ก็กำลังแลนดิ้งลงจอดท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชแล้วจ้า ขอบอกว่าตอนลงกัปตันทำเสียวพอควรเลยครับ ประกาศลงซักพักก็เอาหัวปักเลยครับ เสียวจี๊ดอ่ะ T^T


เมื่อแลนดิ้งลงสู่พื้น อิสระภาพก็กลับคืนมาอีกครั้ง โอ้ว...My Buddhist ขอบคุณพระ(พุทธ)เจ้า ที่ช่วยให้ลูกช้างเดินทางครั้งนี้โดยปลอดภัย สายการบินเค้าขอบคุณผู้โดยสารที่ใช้บริการ แต่ผมอยากจะขอบคุณเค้ามากกว่าที่ทำให้ผมเดินทางโดยสวัสดิภาพ ^^ ขอบคุณครับสายการบิน Orient Thai




สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าขากลับให้ฟังอีกทีนะครับ มีคลิปวีดีโอมาฝากด้วยครับ ตอนนี้ขอไปปั่นงานก่อนนะครับ ลูกค้ารองานอยู่หลายเจ้าเลย มัวแต่อู้ปั่นบล็อกอยู่นั่นแหละ555555




วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มาแก้ไวรัสใน gmail กันเถอะ

หลังจากมีปัญหาเรื่องโดนพี่ google บล็อคบล็อกของผมเมื่อวันก่อน วันนี้ได้เข้าไปเช็คเมลล์ใน gmail ก็เข้าใจจนได้ว่าที่มันระงับเมลล์ของผมคงเป็นเพราะดันโดนไวรัสเข้าให้แล้ว เล่นส่งไปให้ชาวบ้านวันละเป็นหลายร้อยเมลล์ ซึ่งวิธีที่เบสิคที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดในการแก้ไวรัสก็คงหนีไม่พ้นการเปลี่ยน password งั้นวันนี้เราจะมาสอนวิธีเปลี่ยนพาสเวิร์ดใน gmail กันละกันนะครับ

ขั้นแรกก็มาดูปัญหาอีรุงตุงนังกันก่อนนะครับ นี่ครับเจ้าตัวปัญหา ส่งเมลล์ไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเต็มไปหมด


จากนั้นเราก็มาเปลี่ยนพาสเวิร์ดกันนะครับ โดยคลิกตรงมุมขวาบนเลยครับ เป็นชื่ออีเมล์ของเรา



มันก็จะส่งเรามาอยู่หน้านี้ครับ


แล้วก็คลิกตรง personal settings> change your password มุมขวาอันแรกเลยครับ

แล้วก็เปลี่ยนพาสเวิร์ดได้ตามต้องการเลยครับ แต่วิธีเปลี่ยนก็อย่าลืมต้องมีพาสเวิร์ด 8 ตัวอักษรนะครับ

ใครติดไวรัสแล้วลองแก้ดูนะครับ ได้ไม่ได้ยังไงแวะมาบอกกันด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไขต่อไปครับ