วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การทำ motion tracking ใน motion 5

วันนี้ผมก็จะมาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการทำ motion tracking ในโปรแกรม motion 5 มาจากตระกูล Final Cut X นะครับ ต้องเกริ่นก่อนว่าผมลองมาทำวีดีโอดูแล้วหาวิธีการสอนทำ motion tracking ยากมากมายครับ หาไม่มีเลย ยิ่งเป็นของคนไทยด้วยแล้วนี่ไม่เห็นเลยครับ ทีนี้เลยลองทำตามฝรั่งท่านหนึ่งครับ แล้วก็ลองทำเป็นคลิปวีดีโอมาให้ดูกัน ยังไงก็ติชมกันได้นะครับ




หรือไม่ก็ลิ้งค์นี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยามเมื่อลมพัดหวน

ทั้งงานและเวลาต่างๆ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยในการดำเนินบล็อกนี้ให้ต่อเนื่องไปได้ซักเท่าไหร่ แต่วันนี้อากาศดีจริงๆ ขอแวะมาเขียนซักนิดเถอะ

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกรากไหลไปไม่ย้อนกลับ ได้แต่นึกถึงภาพวันวานในอดีตตั้งแต่เริ่มจับกล้องจนถึงปัจจุบัน ภาพเหตุการณ์มันเร็วจริงๆ ตั้งแต่สมัยการใส่ฟิล์ม การถ่ายรูป การม้วนฟิล์มเข้าโรล การล้างฟิล์มในห้องมืด ใช้น้ำยาดีเวลอปเปอร์ สต๊อปเปอร์ ทุกสิ่งล้วนสร้างสมประสบการณ์และการเรียนรู้เป็นกระบวนการนำพาสู่ปัจจุบัน แต่สมัยนี้ไม่มีร่องรอยการใช้ฟิล์มให้เห็นอีกแล้ว ยังคงมีคนเพียงไม่ถึง 5% ทียังใช้ฟิล์มบันทึกความทรงจำ ซึ่งคนเหล่านั้นก็ใช้เป็นงานส่วนตัวมากกว่าการทำงานให้ลูกค้าแน่นอน

ครั้นแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์โรงงาน Polaroid ที่ปิดตัวไปในปี 2009 ทำให้พนักงาน 450 คนว่างงานในนิตยสารชื่อดังใช้สัญลักษณ์ดอกจัน ภาพขาวดำที่ถ่ายโรงงานมาเห็นแล้วยังจำอยู่ในหัว มันดูได้อารมณ์มากมาย และก็ต้องขอบคุณบริษัท Impossible Project ที่สืนสานเจตนารมย์ของผู้คนทั่วโลกที่ยังรักในอารมณ์ฟิล์มโพลารอยด์ ทำให้ยังได้เห็นคนใช้ fuji instax กันต่อไป

ภาพในหัวยังคงวิ่งมาอย่างไม่หยุด ยังพรั่งพรูออกมามากมายสุดจะพรรณา ภาพวันแรกที่ได้ทำงานหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยในบางแสน ไม่สิต้องเป็นภาพตอนรับปริญญาก่อนด้วยสิ ผู้คนมากมายล้วนมาแสดงความยินดี ร่วมชื่นชมกับพวกเรา แต่วันนั้นแหละคือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในโลกที่ถูกหุ้มด้วยปีก อันบอบบางจากผู้บังเกิดเกล้าที่พร้อมจะปกป้องเราแม้จะเป็นสายฝนโปรยปรายหรือแสงแดดร้อนกล้า และก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่โหดร้ายที่พร้อมจะทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ ไม่มีการปราณีประนีประนอมใดใด โลกที่ห้ำหั่นเราด้วยสายตาในด้านหน้า และทำร้ายด้วยคำพูดเมื่อเราหันหลัง จากเด็กไม่ประสีประสาเริ่มแก่กล้าในวิชาตามประสบการณ์และความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ผมยังจำได้ดี

ในตอนนี้งานถ่ายภาพไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนที่เริ่มหยิบกล้อง และทำงานให้กับลูกค้าอื่นๆ คงเปรียบเสมือนถ้าเรารู้และเข้าใจรวมถึงรักในสิ่งที่ทำ ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องกลัวและกังวลใจกับมันอีก

ยามเมื่อลมพัดหวนกลับมาคราวหน้า ซึ่งก็ยังไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน ถึงตอนนั้นชีวิตจะเป็นไปในทางใด ก็อย่าได้ไปใส่ใจ ขอเพียงคิดดีทำดีเป็นคนดีและเป็นลูกที่ดีของคุณแม่ด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯภาค 2

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง(ของใคร) หายหน้าไปนานกันเลยทีเดียวครับ ติดภารกิจหลายอย่างมากมาย มาคราวนี้ก็แน่นอนครับผมจะมาเล่าถึงเรื่องขากลับ แบบภาพพร้อมคลิปวีดีโอด้วยครับ

วันนั้นเรารีบไปถึงก่อนชั่วโมงครึ่งครับ รีบเดินทางกันไม่รู้สายการบินนี้จะเป็นยังไง พอไปถึงก็เวลาเหลือเฟือครับชม.นึงได้ ก็เลยไปเดินถ่ายรูปสนามบินซะหน่อย ภายนอกตึกก็ดูเรียบๆ ครับ เสียดายมากช่วงนั้นฟ้าไม่เป็นใจเอาซะเลย การถ่ายภาพพวกตึกหรืออาคารภายนอกสำคัญมากเรื่องของท้องฟ้าครับ ยิ่งช่วงไหนมีเมฆมากบอกได้คำเดียวว่า"เซ็ง" อยากได้ฟ้าครามๆ น้ำเงินๆ ซึ่งผมเป็นอะไรที่เจอแบบตรงข้ามประจำ



อ้อ ผมลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ การถ่ายภาพนอกสถานที่สำคัญเรื่องของทิศมากครับ ทิศทางของแสงและทิศของท้องฟ้าครับ การจะถ่ายภาพท้องฟ้าให้สวยเนี่ย ถ้าพระอาทิตย์อยู่เยื้องไปทางด้านหลังยิ่งทำให้เราสามารถถ่ายท้องฟ้าออกมามีสีเข้มครับ หรือไม่ก็เยื้องๆ ซัก 45 องศาครับ แต่จริงๆ เป็นการกะเอานะครับ คงไม่มีใครเอาไม้โปรไปวัดองศาใช่มั้ย....



ระหว่างนั้นก็เดินไปเจอป้ายแผนที่บอกจุดท่องเที่ยวในตัวจังหวัด ก็เลยถ่ายมาให้เพื่อนๆดูครับ เผื่อมีใครจะมาเที่ยวที่นี่จะได้ดูจากแผนที่นี้ไปก่อนเลย


เดินเข้ามาก็จะมีเครื่องเอ็กซเรย์กระเป๋าครับ แต่ผมไม่กล้าถ่ายกลัวโดนจับ ข้อหาแอบถ่ายในที่สาธารณะ (เกี่ยวกันป่าว ><) เดินเลยเครื่องมาก็เห็นความอลังการนิดๆ เน้นว่านิดๆ ของสนามบินครับ เลยถ่ายเสยเลย รูปในนี้นี่ผมปรับ ISO สูงขึ้นมาถึง 800 ครับ ใช้ขาตั้งกล้องมันก็คงจะลำบากไปหน่อย เลยดัน ISO เอาครับ


ทางด้านขวาก็จะเป็นช่องจำหน่ายตั๋ว orient thai ครับ จะสังเกตุได้ว่ามีคุณลุงท่านหนึ่งไม่รู้เป็นตำรวจสนามบินรึเปล่า หรือแอบชอบผมหว่ายืนมองผมซะจนเขินเลยทีเดียว #^^#


นี่ก็เป็นรูปภายในสนามบินนะครับ ดูเหมือนกว้างแต่จริงๆ แล้วลักษณะตึกจะยาวครับ ความกว้างจะน้อยมากครับ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าแคบก็ได้ครับ


ชอบสโลแกนจัง Do it by heart ดีนะ ไม่เป็น heard ไม่งั้นคงใช้หูทำงานแทนแน่เลย 5555


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องครับ อ้อ ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ทำไมในรูปมันอมเหลืองกันจัง ต้องบอกว่า ผมไม่ได้ปรับองศาเคลวินให้มันออกฟ้านะครับ อยากให้สถานที่มันออกเหลืองๆหน่อย ส่วนตัวเป็นคนชอบรูปโทน warm ครับ (จริงๆ ขี้เกียจปรับตะหาก ^^!)

นี่ก็เป็นห้องรับรองผู้โดยสารนะครับ นั่งรอเครื่องบินมาจอดป้ายครับ ก่อนจะเดินไปขึ้นกันเครื่อง ห้องนี้ดูโอ่อ่าดูดีเชียวครับ กว้างดีจริงๆ


ที่สนามบินดอนเมืองจะไม่ค่อยกล้าถ่ายมากครับคนเยอะ แต่ที่นี่นี่ผมละเลงยืนถ่ายสบายใจเลยครับ เอามาฝากเพื่อนๆ กัน ไม่ได้ดันสีอะไรมากมาย เดี๋ยวจะสวยเกิน ^o^


และสุดท้ายท้ายสุดก็เป็นคลิปวีดีโอที่ผมตัดต่อขึ้นจากการขึ้นเครื่องบินขากลับนี้นะครับ เดี๋ยวคราวหน้าคิดว่าคงจะทำคลิปที่มีประโยชน์(กว่านี้)แล้วครับ(อันนี้มันก็มีประโยชน์ครับแต่น้อย 555) อาจเป็นการแนะนำวิธีการใช้ Lightroom ก็ได้นะครับ เห็นมีน้องคนนึงถามถึงวิธีการใช้ ซึ่งต้องคอยติดตามนะครับ ว่าแต่เพื่อนๆ อยากให้ผมแนะนำโปรแกรมด้านการถ่ายภาพตัวไหนก็บอกได้นะครับ







ปล.ลืมบอกไปครับว่า ผมค่อนข้างโอเคกับบริการสายการบินนี้นะครับ พนักงานต้อนรับหน้าตายิ้มแย้มดีครับ (ลึกๆ จะด่าไรพวกเราผมไม่รู้หรอกครับ) แต่งานบริการต้องยิ้มเก่งครับ ซึ่งน้องๆ ทำได้ดีครับ (น่ารักด้วยครับ) ^^ อ้อ ผมหน้ายังเป็นมนุษย์ไม่ใช่หน้าม้านะครับ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯ

ในที่สุดการเดินทางจากกรุงเทพมหานครอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมไปยังภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไปถ่ายงานบวชให้กับน้องชายก็สิ้นสุดลงครับ เป็นทริปที่เหนื่อยมาก แล้วก็สนุกมาก และที่สำคัญอิ่มบุญมากมายครับ ก็เลยนำผลบุญมาฝากเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้กันด้วยนะครับ

ต้องขอบอกอย่างตรงไปตรงมาและไม่อายเลยครับว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นเครื่องบินครับ ช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร(ทำเสียงหล่อ) ตอนเดินก้าวขึ้นเครื่องนั่งบนเก้าอี้ ต้องยอมรับครับว่าทั้งหนังทั้งเรื่องต่างๆ รวมถึงข่าวสารที่เกี่ยวกับเครื่องบินในแง่ต่างๆ (โดยเฉพาะแง่ลบ ที่คุณก็รู้ว่าหมายถึงอะไร) พรั่งพรูเข้ามาใส่หัวสมองผมเต็มไปหมด เริ่มจิตตกพอควรครับ เสียวๆ อยู่เหมือนกัน (ก็แหมหนังฮอลลีวู้ดแต่ละเรื่องมันช่างถ่ายทำมาได้สมจริงสมจังจนติดตาจริงๆ นี่นา) แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกของช่างภาพอย่างผมไปทั้งทีจะไปเปล่าๆ ได้อย่างไรกัน ก็ถือว่าวันนี้ผมจะพาทุกท่านเที่ยวชมสนามบินดอนเมือง(ในปัจจุบัน) แล้วก็พาขึ้นเครื่องบินไปด้วยกันจนกระทั่งแลนดิ้งลงจอดเลยดีกว่าครับ แต่เดี๋ยวก่อน....เพียงคุณโทรเข้ามาในรายการ เอ๊ย....ไม่ใช่....ผมไม่ได้มาเล่าการเดินทางของผมอย่างเดียวนะครับ อยากให้มีอะไรติดไม้ติดมือจากการเดินทางไปกับผมครั้งนี้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจะแนะนำการถ่ายภาพแต่ละมุมแล้วก็บอกรายละเอียดการถ่ายภาพของผมไปทีเดียวละกันนะครับ เริ่มน่าสนใจนิดๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ พร้อมแล้วก้าวตามผมขึ้นมาเลยครับ

ผมเชื่อว่าหลายคนที่เคยนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านครั้งแรกกันมาแล้ว(ก็ถูกแล้วจะพูดทำไมว้า!) น่าจะจำความรู้สึกกันได้ดีนะครับ ว่ามันน่าตื่นเต้นขนาดไหน ยังเสียวไม่หายเลยครับ แต่สะดวกรวดเร็วมากมายจริงๆ จากขับรถเดินทาง 10 ชม. เหลือแค่ชั่วโมงเดียว เรามาออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มต้นรูปแรกเป็นประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกนะครับ ผมไปถึง 11.50 . กะว่าจะไปเช็คอินก่อนชิลชิลซักชม.ครึ่งเพราะตามกำหนดการเครื่องออกตอน 12.30 แต่ที่ไหนได้ครับ ดัน delay ไป 1 ชม.ครับ นั่งรอเก้อกันเลยทีเดียว รูปแรกนี้มีรถแท๊กซี่จอดขวางอยู่เต็มไปหมดรอซักพักก็ออกบ้างจอดบ้าง เลยถ่ายมาติดแท๊กซี่นิดหน่อยครับ


นี่เป็นรูปประตูทางเข้าหน้าตรงครับ มีนางแบบประกอบด้วยสองคน ^^ ค่อนข้างคิดถึงบรรยากาศของที่นี่ตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ มาส่งน้าชายทำงานครับ ท่านเป็นมัคคุเทศก์ผมเลยต้องมาส่งท่านเพื่อมารับแขกญี่ปุ่นที่นี่บ่อยมากๆ


เข้ามาถึงก็จะเห็นฝั่งขวามือครับเป็นเค้าท์เตอร์จำหน่ายบัตร แสงในนี้ค่อนข้างมืดครับ จากตอนแรกใช้ iso 200 เข้ามาข้างในต้องดันกันถึง 800 เลยครับ เพื่อเอาสปีดให้พอถือด้วยมือได้ เลนส์ 10-22 นี่ perspective ได้ใจดีจริงๆครับ

ส่วนทางด้านฝั่งซ้ายครับเป็นเค้าท์เตอร์สายการบิน nok air


เดินเข้ามาจากประตูก็ต้องไปทางฝั่งด้านขวาครับ เพื่อไปเช็คอินแล้วก็รับตั๋วครับ ซึ่งจะมีเครื่อง x-ray กระเป๋าก่อนเลย แหม....เปอร์(สเป็กทีฟ) ได้ใจจริงๆ

เมื่อรู้ว่าเครื่องบินดีเลย์ไป 1 ชม.ผมก็แวะไปหากาแฟกินก่อนดีกว่า ก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งมาเจอบ้านนางฟ้าครับ (ไม่ใช่เรยานะครับ)

แหม...นางฟ้ากำลังเดินกันมาเลยทีเดียว แอร์สายการบินนกแอร์นี่เองหรืออีกชื่อเค้าเรียกกันว่าหางเหลืองครับ

และแล้วผมก็เดินเจอร้านกาแฟเพื่อมาหากาแฟเย็นแก้ง่วงซักแก้วจนได้ ร้านนี้แปลกดีครับใช้ชื่อร้านว่า Internet แต่พอถามหา wifi กลับบอกว่ายกเลิกนานแล้วน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Outernet แทน =*=!

นั่งเปิดนู่นอ่านนี่ไปแก้เซ็งฆ่าเวลาครับ นี่เป็นตั๋วเดินทางครับ อ้อลืมบอกไป ครั้งแรกของผมกับน้องโอครับ(โอเรียนท์ไทยนะครับ #^^#)

มาดูบรรยากาศชั้นล่างบ้างดีกว่าครับ อยากจะบอกว่าเงียบเหงาเหลือเกิน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน สนามบินที่เคยคึกคักที่สุดกลับกลายเป็นสนามบินที่เงียบเหงาที่สุดตั้งแต่มีสุวรรณภูมิ จะว่าไปก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่อนิจจังไม่แน่นอน มีเกิดก็ต้องมีดับ เอ๋า...ไปทางธรรมซะได้ #^^#


มาที่นี่ส่ิงหนึ่งที่จะเห็นเยอะพอควรก็คงหนีไม่พ้นป้้ายโฆษณาครับ ซึ่งเห็นแทบจะมีผูกขาดอยู่ป้ายเดียวก็คือของนกแอร์ครับ ไม่รู้จะสร้าง remind branding อะไรนักหนา

ป้ายโฆษณาของนกแอร์นี่ใหญ่ดีจริงๆครับ ถิ่นของเค้าเลยเชียว งบโฆษณาเยอะมาก เหอเหอ



พริตตี้ร้านกาแฟร้านนี้น่ารักจริงๆ #^^#

นั่งจนได้เวลาแล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องกันครับ อันที่มีคาดสีแดงนี่ไปหาดใหญ่ครับ ประกาศขึ้นเครื่องด่วนใหญ่เลย

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้วเราก็เข้าไปห้องสำหรับทางออกขึ้นเครื่องครับ


ข้างในช่างกว้างซะมากมายจริงๆ ครับ ยิ่งใกล้เวลาขึ้นเครื่องก็ยิ่งตื่นเต้นครับ

พอเข้าไปถึงข้างในผมก็เดินหามุมเลยครับ มองออกไปข้างนอกเห็นลานกว้างแต่เครื่องบินไม่อยู่แฮะ ว่าแล้วก็ยิงซักนัดดีกว่า อันนี้ถ่ายทะลุกระจกออกไปนะครับ สภาพแสงภายในกับข้างนอกต่างกันมากครับ ภายในสนามบินที่มีแสงน้อยผมใช้ที่ iso 800 ตลอด แต่พอจะถ่ายข้างนอกก็ต้องลด iso ลงนะครับเหลือแค่ 400 ครับ เน้นเอา f/stop ชัดลึกพอสมควรครับ แต่ไม่อยากให้มีเกรนภาพมาก อย่างในรูปผมใช้ที่ f/14 ครับสปีด 1/80 ช่วงเลนส์ที่ 10 mm กว้างสุดเลยครับ เลนส์ wide ต้องระวังเรื่องการ distortion ของภาพ แต่ด้วยความที่จุดที่ผมยืนเป็นจุดที่สูงครับ ระนาบของกล้องเลยค่อนข้างขนานกับพื้นพอสมควรครับ ทำให้อาการดิสทอชั่นของภาพน้อยครับ

และนี่ก็เป็นเครื่องบินที่ผมจะนั่งมันไปยังปลายทางโดยสวัสดิภาพครับ ซึ่งตอนนั้นเค้ากำลังโหลดของลงจากเครื่องครับ ทำเวลาเร่งกันพอสมควรเพราะดีเลย์ไปตั้ง 1 ชั่วโมงเลยครับ จากจุดนี้เราสามารถเห็นได้เลยครับ ว่าเค้ากำลังโยนกระเป๋ากันอยู่ ไม่ใชคำว่าโหลดกระเป๋านะครับมันสุภาพไปหน่อย รูปนี้ผมถ่ายออกไปจากกระจกนะครับ จะมีกระจกอีกชั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเป็นกรอบพอดี ก็เลยถ่ายออกไปยังงั้นเลยครับ ข้างนอกแสงค่อนข้างสว่างอยู่เลยปรับ ISO ลดลงมาเป็น 200 ครับ แล้วถ่าย 1/30 f/11 ครับ


หลังจากนั้นไม่นานเราก็ก้าวขึ้นเครื่องกันแล้วครับ ข้างนอกฝนตกพอดีเลยครับ พาให้ใจเสียนิดๆ แต่เอาวะสวดมนต์มาเรียบร้อยแล้วไม่เกรงกลัวภยันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ผมนั่งตรงปีกพอดีเลยครับ


ภายในห้องโดยสารครับ เบาะจะไม่ได้กว้างมากมายครับ ก็เป็นที่นั่งธรรมดาแล้วก็เครื่องบินลำเล็กครับ ติดเข่านิดๆ


หลังจากนั่งรอกันอยู่บนเครื่องบินอีกเกือบ 1 ชม. เครื่องก็เริ่มได้เวลาทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ สัญญาณรัดขัดเข็มดังขึ้น ตอนนี้เครื่องบินจะค่อนข้างเหมือน BTS มากๆ หวานเย็นมากมาย เพราะจะค่อยๆ ขับไปจอดตรงจุดทางม้าลายก่อนบินครับ(รู้ละเอียดมากเพราะว่านั่งมองอยู่ตลอด 55555) รู้สึกเพลินๆ ครับตอนนี้ หวานเย็นดี



เมื่อเครื่องบินได้สัญญาณบินก็เริ่มพุ่งขึ้นสู่ฟ้าครับ ความรู้สึกตอนนี้ตื่นเต้นมากๆจริงๆครับ ทั้งเสียงเครื่องบินและความเร็วในการออกตัว ทำไมมันไม่เหมือนเมื่อกี้เลยวะ T^T ทะยานขึ้นเร็วและแรงจริงๆครับ หลังจากนั้น 2-3นาทีเครื่องก็ทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ

สังเกตุเส้นขอบฟ้ากับปีกนะครับ หัวมันชี้ขึ้นแบบได้ใจมากครับ เหอเหอ




จู่ๆ เนื้อเพลงก็ลอยเข้าหูครับ “ผิดก็ทำต่ำก็รู้อยากไปสู่วันที่ดี ให้ชีวิตนี้หลุดพ้นไปจากพื้นดิน ขวากหนามมากน้อยคอยกัน แต่ฝันของฉันคือบิน อยู่บนท้องฟ้าสักวัน” เรยามาเองเลยทีเดียว 55555 ตอนนี้อยู่บนฟ้าแล้วครับ ผมได้บินสมใจแล้ว ^^ ตอนนี้รูปที่ผมถ่ายผมปรับสปีดเป็น ISO 400 1/1000 เลยครับ f/10 เพราะผมไม่รู้เครื่องบินบินเร็วแค่ไหนเลยถ่ายไว้ที่สปีดสูงไว้ก่อนครับ


จากนั้นเราก็บินผ่านหมู่เกาะฮาวาย ตาฮิติ ปาปัวนิวกินี ไปยังศรีลังกาแล้ววนกลับมานครศรีธรรมราช เฮ้ยยย!


หลังจากนั้นเครื่องบินอยู่บนฟ้าซัก 10 นาทีก็มีขนมมาแจกครับ เย้!


แต่เอ๊ะ...นี่น้องพริตตี้ที่ร้านกาแฟนี่ ขึ้นมานั่งติดกับเราเลยแฮะ 5555 #^^#

และแล้วในที่สุด เราเดินทางมาเกือบชม.ก็กำลังแลนดิ้งลงจอดท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชแล้วจ้า ขอบอกว่าตอนลงกัปตันทำเสียวพอควรเลยครับ ประกาศลงซักพักก็เอาหัวปักเลยครับ เสียวจี๊ดอ่ะ T^T


เมื่อแลนดิ้งลงสู่พื้น อิสระภาพก็กลับคืนมาอีกครั้ง โอ้ว...My Buddhist ขอบคุณพระ(พุทธ)เจ้า ที่ช่วยให้ลูกช้างเดินทางครั้งนี้โดยปลอดภัย สายการบินเค้าขอบคุณผู้โดยสารที่ใช้บริการ แต่ผมอยากจะขอบคุณเค้ามากกว่าที่ทำให้ผมเดินทางโดยสวัสดิภาพ ^^ ขอบคุณครับสายการบิน Orient Thai




สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าขากลับให้ฟังอีกทีนะครับ มีคลิปวีดีโอมาฝากด้วยครับ ตอนนี้ขอไปปั่นงานก่อนนะครับ ลูกค้ารองานอยู่หลายเจ้าเลย มัวแต่อู้ปั่นบล็อกอยู่นั่นแหละ555555




วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มาแก้ไวรัสใน gmail กันเถอะ

หลังจากมีปัญหาเรื่องโดนพี่ google บล็อคบล็อกของผมเมื่อวันก่อน วันนี้ได้เข้าไปเช็คเมลล์ใน gmail ก็เข้าใจจนได้ว่าที่มันระงับเมลล์ของผมคงเป็นเพราะดันโดนไวรัสเข้าให้แล้ว เล่นส่งไปให้ชาวบ้านวันละเป็นหลายร้อยเมลล์ ซึ่งวิธีที่เบสิคที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดในการแก้ไวรัสก็คงหนีไม่พ้นการเปลี่ยน password งั้นวันนี้เราจะมาสอนวิธีเปลี่ยนพาสเวิร์ดใน gmail กันละกันนะครับ

ขั้นแรกก็มาดูปัญหาอีรุงตุงนังกันก่อนนะครับ นี่ครับเจ้าตัวปัญหา ส่งเมลล์ไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเต็มไปหมด


จากนั้นเราก็มาเปลี่ยนพาสเวิร์ดกันนะครับ โดยคลิกตรงมุมขวาบนเลยครับ เป็นชื่ออีเมล์ของเรา



มันก็จะส่งเรามาอยู่หน้านี้ครับ


แล้วก็คลิกตรง personal settings> change your password มุมขวาอันแรกเลยครับ

แล้วก็เปลี่ยนพาสเวิร์ดได้ตามต้องการเลยครับ แต่วิธีเปลี่ยนก็อย่าลืมต้องมีพาสเวิร์ด 8 ตัวอักษรนะครับ

ใครติดไวรัสแล้วลองแก้ดูนะครับ ได้ไม่ได้ยังไงแวะมาบอกกันด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไขต่อไปครับ

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พี่ google เกือบ block, blog ของ goo หรือการเมืองกันหว่า

ไม่รู้ไปทำอะไรอีท่าไหน พี่ google ดั๊นมามีปัญหากับบล็อกผมซะงั้น ทั้งๆที่ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เจ้า panda (อัลกอรึทึมใหม่ของ google)เลย ทำอะไรโปร่งใส ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ไม่หมกเม็ดแท้ๆ เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับผมเป็นอย่างมาก ไม่รู้โดนไวรัสอะไรหรือเปล่า (ยังคงคาใจอยู่) ใครที่เคยโดนบล็อค บล็อกมาแล้วคงเสียใจเป็นอย่างมากยิ่งกับคนที่ไม่เคยแบ็กอัพไฟล์อะไรไว้เลย....เช่นผม เห็นทีต้อง backup ไฟล์ไว้บ้างก็ดีครับ

เดือนนี้เป็นเดือนที่ค่อนข้างวุ่นวายมากครับ เหนื่อยจากการทำงานมากมาย กว่าจะเคลียร์ไฟล์เสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยพอควร ช่วงนี้เป็นช่วงที่งานประเภทเวดดิ้งหรืองานแต่งงานเริ่มซาเบาบางลงหลังจากผ่านช่วง high season หรือเทศกาลของมันนั่นคือช่วงตั้งแต่ตุลาคม-กุมภาพันธ์มา มือปืนหลายคนโกยกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำจากช่วงนี้ได้มากทีเดียวครับ ถือเป็นช่วงขาขึ้นต้องรีบตักเลยทีเดียว แต่ส่วนตัวผมก็ยังเน้นรับงานด้าน event และงานสตูดิโอทั่วไปมากกว่า อาจเป็นเพราะความถนัดและลูกค้าเฉพาะกลุ่มด้านนี้มีมากกว่ากระมัง....

ช่วงนี้จะว่าไปใกล้เลือกตั้งเข้าไปทุกทีก็ยิ่งเห็นความวุ่นวายของการเมืองมากขึ้น นับตั้งแต่ลอบยิงหัวคะแนน นายกอบต. อบจ. นายกเทศมนตรี ไหนยังมีข่าววางระเบิด ลอบทำร้ายสารพัด เห็นแล้วพาให้ใจเศร้าหมองจริงๆครับ อยากให้เหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านไปซักที ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกประเภทครับ อยากให้ตัดสินกันที่การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าใครได้ไปผมก็อยากให้ ให้เวลากับรัฐบาลชุดใหม่ในการทำงานซัก 1 ปีก็ยังได้

แต่ก็ยังเชื่อว่าไม่ว่าใครจะได้ ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้าน ไม่พอใจ กล่าวหาว่าลำเอียง ไม่ยุติธรรมกันอีกแน่นอน ฟันธงขรั้บ!

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Capture One เอากรูเข้าแล้ว....!

หลังจากที่ไม่ได้ใช้โปรแกรมเจ้า Capture One มานานโข และตอนใช้ก็มีคน operate คอมฯให้ ใช้แต่ adobe lightroom เป็นส่วนใหญ่ ไม่รู้เจ้าอันใดเข้าสิงให้มือเลื่อนไปคลิกแล้วทำงานผ่านโปรแกรมตัวนี้ ไม่ใช่โปรแกรมใช้งานยาก ไม่ใช่โปรแกรมมันไม่ดี แต่เป็นความผิดพลาดที่เราไม่รู้จริงๆ นั่นคือโปรไฟล์สีจากตัวโปรแกรมนี้ทำให้เราเข้าใจว่าภาพมันโอเคทุกอย่างแล้ว สีและแสงถูกต้องเป๊ะ มารู้อีกครั้งหลังจากที่ถ่ายเสร็จกระบวนการทุกอย่าง เมื่อเปิดดูจากแฟ้มด้วยโปรแกรม preview ปกติทำให้เห็นว่าถ่ายมาอันเดอร์กว่าเกือบ 1 สต๊อป เปิดเช็คใน DPP (โปรแกรม Digital Photo Professional ของ canon) ก็เห็นเป็นแบบเดียว ในขณะที่เปิดแคปเจอร์วันอีกรอบ ก็ยังดูงามเด่นอยู่เหมือนเดิม ทำให้เข้าใจทันทีว่าเราคงตั้งค่าไรบางอย่างผิดพลาดไปแน่ๆ...

แต่สาเหตุหลักที่ผมใช้โปรแกรมตัวนี้เพราะการใช้งานมันหลากหลายและสะดวกมากกว่าโปรแกรม DPP กับ Lightroom ครับหรือแม้กระทั่งโปรแกรม Aperture ก็เป็นโปรแกรมที่ใช้งานได้ดีอีกโปรแกรมครับ สงสัยมีเวลาต้องนั่งศึกษาเจ้าโปรแกรมตัวนี้อย่างจริงจังแล้วล่ะสิเรา.....ใครไม่เคยใช้ก็ระวังเรื่องนี้หน่อยนะครับเศร้าจริงๆครับงานนี้ แต่ก็ดีอย่างครับเป็นประสบการณ์ให้เราเรียนรู้และก้าวข้ามมันไปอย่างมีสติ!

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พึงระวัง Distort กันนะจ๊ะพวกเธอว์

หลังจากสงกรานต์มาก็ไม่ค่อยได้ว่างอัพบล็อกเลยครับ งานหลายอย่างประดังเข้ามาวุ่นมากมายเลยครับ และก็ได้ไปถ่ายงาน BIG+BIH 2011 มา ถ่ายไป 3 วัน อัดไป 3,000 กว่ารูปได้ครับ ยอมรับเลยว่า iso 1600 ใน 7d ค่อนข้างดีพอควรเลยครับ ตอนนี้ยังไม่กล้าอัดสูงมากเกินไป เพราะผมเป็นห่วงเรื่องของ noise หรือเกรนภาพเพราะถ้าสูงกว่านี้อาจจะเป็นงาน abstract ก็ได้ครับ(เป็นความกังวลส่วนตัวครับ)

งานข่าวและงานถ่ายภาพ exhibition นั้นส่วนใหญ่จะค่อนข้างใช้เลนส์ wide มากพอควรครับ ซึ่งถ้าเราใช้ช่วงเลนส์ต่ำกว่า 24mm. ลงมาต้องพยายามระวังเรื่องของการ distortion ครับ เพราะถ้าเราไม่ได้ตั้งกล้องขนานกับพื้นภาพจะเริ่มมีความโค้งครับ ส่วนจะโค้งมากโค้งน้อยขึ้นอยู่กับคุณภาพของเลนส์และองศาของการทำมุมกับวัตถุครับ เช่นถ้าผมอยู่บนที่สูงกว่าวัตถุซัก 1 เมตร(จริงๆแล้วยิ่งเลนส์กว้างเท่าไหร่เอาแค่กดกล้องลงมาซัก 2-3 องศาก็เห็นความโค้งเช่นกันครับ) แล้วกดกล้องลงมาถ่ายภาพวัตถุโดยใช้ช่วงเลนส์ระยะ 24mm.ลงมา รับรองว่าขอบภาพจะโค้งอย่างเห็นได้ชัดแน่นอนครับ แล้วก็ทำให้สัดส่วนของวัตถุบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดครับ ดังนั้นพยายามระมัดระวังเรื่อง distortion กันหน่อยนะครับ

ตอนส่งงานลูกค้าผมก็ต้องมาไล่ดึง perspective ให้ตรงที่สุด ทั้งนี้ไม่ใช่ผมไม่ระวังนะครับ แต่เป็นเพราะว่ามุมมันบังคับครับ เช่น ผมต้องงัดกล้องถ่ายบู๊ทซึ่งมีความสูง 5 เมตร เพระผมไม่สามารถหาที่ยืนสูงในระยะขนานได้กับวัตถุครับ เลยจำเป็นต้องมาดึงเส้นในคอมเอา อันนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ

ตอนนี้ผมก็พยายามจะอัพบล็อกให้บ่อยกว่าเดิมครับ ใครแวะเวียนมาอยากรู้เรื่องราวอะไร ก็ request ได้นะครับ ผมจะได้จัดเต็มให้ตามต้องการครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

และแล้วความลับ Ambient Light Sensor ใน MBP 2011 ก็เปิดเผย

จากบทความที่ผมพูดถึงเรื่องความรวนเรของ ambient light sensor ในตัว MacBook Pro 13" เมื่อวานนี้ วันนี้ได้นำเข้า shop ที่ซื้อมาแล้วครับ เริ่มจากพี่เค้าเอาไฟฉายส่องเช็ค sensor ดูการทำงานของไฟ backlit คีย์บอร์ด แล้วก็ลองตั้งค่าเช็คอะไรไปเรื่อย แล้วก็หลังจากทดสอบกันซักพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ได้ล่วงรู้ความลับใหม่ครับใน MBP ตัวนี้ครับ Steve Job ทำสิ่งแปลกประหลาดอีกแล้ว นั่นคือ การเพิ่มความสามารถการจดจำหรือตั้งค่า profile แสงหรือว่าสามารถตั้งค่าการหรี่ ambient ได้อีกที ฟังดูงงๆ เดี๋ยวผมจะย่อยออกมาให้ฟังนะครับ

1. ให้ทดลองวางเครื่อง MBP ในที่สว่างๆ ตั้งค่าหน้าจอให้สว่างสุดครับ
2. เอามือบังเซ็นเซอร์ครับ​(ตรงติดกับกล้อง) จะเห็นว่าไฟจะไม่มืดลงนะครับ จะยังสว่างเหมือนผม (ทำให้ตกใจ ใจเสียวิ่งโร่เข้าศูนย์)
3. ที่เอามือบังค้างไว้ครับ แล้วก็กดลดค่าไฟลงว่าต้องการให้หรี่ลงเท่าไหร่ (ตรงนี้ยังไม่แน่ใจในการปรับว่าหลังจากตั้งสำเร็จแล้วมันจะลดลงกี่ขีด ตามที่เราต้องการหรือเปล่า)
4. รอให้สัญลักษณ์การหรี่ไฟมันหายไป แล้วก็เอามือออกนะครับ ทีนี้ลองเอามือบังใหม่ครับ จะเห็นว่าจอสามารถหรี่ได้แล้วครับ!

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องลองในที่สว่างๆ นะครับ ส่วน ณ ตอนนี้ที่ผมลองห้องเริ่มมืดแล้วครับ ยังเซตไม่ค่อยไปครับ ยังหรี่บ้างไม่หรี่บ้าง แต่ที่แน่ๆ มั่นใจคือ เซ็นเซอร์ไม่ได้เสียครับ ตอนนี้สบายใจขึ้นเยอะแล้วครับ กลุ้มมาหลายวัน ยังไงลองทำตามดูนะครับ ได้ผลยังไงแล้วบอกด้วยนะครับ Mac หนอ Mac

ทำให้มานั่งคิดครับเมื่อวานนี้พี่แว่นซ่อมได้ แล้วทำไมเค้าไม่สอนหว่า หรือเค้าฟลุ้ค หรือเค้าจะรู้จริง แล้วก็ย้อนไปนึกถึงคำพูดรุ่นพี่คนนึงบอกว่า "ร้านนี้นี่ชอบกั๊กข้อมูล ชวนอารมณ์เสียหลายทีละ บอกก็ไม่บอกหมด....." หรือจะจริงอย่างเค้าพูดหว่า...!

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

พี่แว่นซ่อมได้

ในที่สุดผมก็ได้ตัดสินใจถอย MacBook Pro 13 นิ้วมาจนได้ (ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเดือนนี้ผมใช้เงินไปเลยแสนแล้ว T_T) ใช้ไปใช้มาก็เพลิดเพลินใจอยู่ จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 5 ของการใช้งาน ผมพึ่งจะสังเกตุว่า ปกติฟังก์ชั่นหรี่ไฟอัตโนมัติเนี่ย มันมีอยู่ในรุ่นก่อนๆ นี่หว่า(ไปเล่นบ่อยๆ ตั้งแต่ก่อนซื้อมานานละ) ทำไมรุ่นนี้ปิดไฟห้องก็ไม่หรี่แฮะ พอมาหาข้อมูลก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเรา แต่รู้อย่างนึงว่ารุ่นนี้ก็ยังแถมตัว ambient light sensor มาให้ด้วยแน่ๆ

ครั้นพอหาข้อมูลในบอร์ดไหนๆ ก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเรา จนแล้วจนรอดตัดสินใจไปฟอร์จูนเลยครับใกล้ที่พักดี พอไปถึงร้านแรกอยู่ใกล้บันไดเลื่อน(ตรงกลางห้างชั้น 4 ใช้ชื่อว่า iBeat) พอบอกอาการเค้าบอกทันทีว่า คงเป็นที่ Hardware ให้ไปศูนย์ MCC เลย(ร้านเคลมซ่อมของแมคโดยตรง)ผมก็รีบเดินออกจาร้านมุ่งหน้าไปที่ MCC พอไปถึง ช่างก็เอา MBP (MacBook Pro 13)ของเค้ามาเทียบกัน เค้าก็เป็นเหมือนกันครับ เค้าก็สงสัยว่าเอ๊ะ รุ่นนี้ 2011 เค้าเปลี่ยนแปลงอะไรรึเปล่า ทำไมเอามือทาบกล้องแล้วไฟก็ยังไม่หรี่.....เอาละสิช่างยังไม่รู้ เค้าก็บอกให้ผมไปถามร้านข้างล่างครับ iStudio ชั้น 3 ผมก็เดินหอบลูกรักลงไป แต่สิ่งที่มันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

ผม: "เนี่ยครับ ลองมาทุกอย่างแล้ว ยังไงก็ไม่หาย ผมตั้งค่าทำตามทุกอย่าง"
พี่แว่นคว้าแมคบุ๊คไปแล้วก็ลดแสงไฟบนคีย์บอร์ด แล้วก็หน้าจอแล้วก็เพิ่มจากนั้นก็เอามือบังตรงกล้อง และแล้วไฟก็ค่อยๆหรี่
ผม: "....!"
พี่แว่น: "ก็ปกติดีนี่ครับ เนี่ยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย"
ผม: "เอ๊ะ เป็นไปได้ไง ผมลองทุกวิธีแล้วนะครับ ทำไมมันถึงไม่หาย เนี่ยผมทำแบบนี้.......bla bla bla"
แล้วผมก็สาธยายให้เค้าฟัง เค้าก็พูดว่า
พี่แว่น: "ก็เนี่ยครับไม่เป็นนะ สงสัยกลัวหมอนะ...."
ฟังเผินๆ ไม่คิดอะไรก็ไม่เป็นไรครับ แต่ความรู้สึกผมเนี่ย รับรู้ทางสายตาและน้ำเสียงเหมือนจะบอกนัยๆว่า "ไอ้นี่มันโง่จังวะ แค่เอามือบังตรงนี้ก็หรี่ละ มีปัญหาตรงไหนวะ"

ทั้งอายทั้งเซ็งครับ แต่ก็ดีใจอย่างที่มันหายแล้ว เลยเดินกลับขึ้นไปหาพี่ช่างที่ MCC อีกครั้งเพื่ออัพเดทข้อมูล

ผม: "เนี่ยพี่เค้าทำให้หายละครับ ไม่เป็นไรละ"
ช่าง: "เค้าทำยังไงอ่ะครับ พี่ยังแก้ไม่ได้เลย ว่าจะโทรถามทางศูนย์ละ ว่าเป็นเพราะอะไร"
ผม: "เค้าก็แค่ลดไฟลง แล้วก็เพิ่มไฟขึ้น แล้วก็เอามือบังไฟ แค่นี้มันก็หรี่เองแล้วครับ"
ช่าง: "ห๊ะ..............!"
ช่างลองทำตามแล้วก็เอามือบังไฟอีกครั้ง
ช่าง: "ไม่เห็นมันจะหรี่เลย เป็นอะไรน้อ"
ผม: "นั่นสิพี่ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เอาเป็นว่าพี่เอาไปให้พี่แว่นข้างล่างสิ เค้าทำแป๊บเดียวหายเลย"
ช่าง: "อ่อ ครับ เดี๋ยวผมลองโทรเข้าไปเช็คที่ศูนย์ดูก่อนดีกว่าว่ามันเป็นอะไร"
ผม: "ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

จากนั้นผมก็เดินลั้นลากลับมาด้วยความรู้สึกว่า แมคเราเป็นปกติไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเปิดเครื่องใหม่ แล้วเอามือบังไฟ มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเหมือนเดิมเลยครับ พระเจ้าจอร์จ.....! นี่ผมเสียเวลาไปร้านตั้ง 3 ร้าน แล้วมันก็ยังไม่หาย ตกลงนี่มันเป็นอะไรกันแน่เนี่ย แล้วใครจะช่วยผมได้มั่งเนี่ย...

ที่จริงแล้วซื้อแมคมาก็เพราะถูกใจกับฟังก์ชั่นหรี่ไฟอัตโนมัติเลยนะเนี่ย!

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

งานเข้าพี่บอย....เป็นต่อหลุดผังซะงั้นน่ะ

งานเข้าแล้วล่ะสิพี่บอย เป็นต่อหลุดผังซะงั้น เกิดอะไรขึ้นไปติดตามข่าวกันดีกว่าครับ....

ช็อก! เป็นต่อ หลุดผัง คุณบอยขอคุย ช่อง 3 ก่อน



บอย ถกลเกียรติ

บอย ถกลเกียรติ


เป็นต่อ
เป็นต่อ


เป็นต่อ
เป็นต่อ



เป็นต่อ
เป็นต่อ



ชาคริต แย้มนาม

ชาคริต แย้มนาม



ช็อก! เป็นต่อหลุดผัง ช่อง 3 คุณบอยขอคุยช่องก่อน

เป็นต่อ อาจหลุดผังช่อง 3 ด้านคุณบอยขอคุยรายละเอียดกับทางช่องก่อน ว่าจะเป็นยังไง

ช็อกกันถ้วนหน้า หลังมีข่าวว่าซิทคอม เรตติ้งดี กระแสแรงอย่าง เป็นต่อ อาจจะหลุดผังจากหน้าจอทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลา 23.15 น. ทางช่อง 3 ซึ่งงานนี้แม้แต่ คุณบอย ถกลเกียรติ ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในงานกาล่าดินเนอร์ เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี ก็เปิดเผยว่า ตน รู้สึกช็อกและตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน หลังจากที่ได้ทราบข่าว เพราะตนไม่คิดว่า ซิทคอมที่เรตติ้งดี คนพูดถึงและรอดูทุกคืนวันพฤหัสบดี จะมาหลุดผังได้

พร้อมกันนี้ คุณบอย ยังกล่าวว่า จากการที่ได้ทราบเหตุผลเบื้องต้น อาจเป็นเพราะว่า เรตติ้งอยู่กับที่ ไม่ได้เป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทางช่องเลยอยากให้ปรับ ซึ่งทางช่องก็ไม่ได้วางโจทย์มาว่า จะให้ปรับเป็นแบบใด และตนก็ยังไม่ได้คิดด้วย เพราะต้องรอคุยกับทางช่องก่อน ว่าจะเอายังไงต่อไป เหล่านักแสดงในเรื่อง พอทราบข่าวก็ตกใจไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ คุณบอย กล่าวว่า ตอน นี้ต้องหยุดการถ่ายทำเอาไว้ก่อน คาดว่าคงออนแอร์ ได้จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม และทางช่องก็อยากให้ปรับเปลี่ยนภายในเดือนมิถุนายน ส่วนที่ถามว่า ซิทคอม เป็นต่อ อาจจะได้ไปออนแอร์ทางช่องอื่นหรือไม่ คุณบอย ก็บอกว่า ก็ไม่แน่นอน เพราะเชื่อมั่นว่า ซิทคอมดี ๆ กระแสดี ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่ตอนนี้ตนยังไม่สามารถตอบอะไรที่ชัดเจนได้ คงต้องรอคุยกันก่อน

รายละเอียดข่าวจ้า

เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไงต้องรอติดตามกันต่อไปนะครับ ส่วนตอนนี้ขอไปเชียร์น้องเบลล์ต่อดีกว่า