วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯภาค 2

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง(ของใคร) หายหน้าไปนานกันเลยทีเดียวครับ ติดภารกิจหลายอย่างมากมาย มาคราวนี้ก็แน่นอนครับผมจะมาเล่าถึงเรื่องขากลับ แบบภาพพร้อมคลิปวีดีโอด้วยครับ

วันนั้นเรารีบไปถึงก่อนชั่วโมงครึ่งครับ รีบเดินทางกันไม่รู้สายการบินนี้จะเป็นยังไง พอไปถึงก็เวลาเหลือเฟือครับชม.นึงได้ ก็เลยไปเดินถ่ายรูปสนามบินซะหน่อย ภายนอกตึกก็ดูเรียบๆ ครับ เสียดายมากช่วงนั้นฟ้าไม่เป็นใจเอาซะเลย การถ่ายภาพพวกตึกหรืออาคารภายนอกสำคัญมากเรื่องของท้องฟ้าครับ ยิ่งช่วงไหนมีเมฆมากบอกได้คำเดียวว่า"เซ็ง" อยากได้ฟ้าครามๆ น้ำเงินๆ ซึ่งผมเป็นอะไรที่เจอแบบตรงข้ามประจำ



อ้อ ผมลืมบอกไปเรื่องหนึ่งครับ การถ่ายภาพนอกสถานที่สำคัญเรื่องของทิศมากครับ ทิศทางของแสงและทิศของท้องฟ้าครับ การจะถ่ายภาพท้องฟ้าให้สวยเนี่ย ถ้าพระอาทิตย์อยู่เยื้องไปทางด้านหลังยิ่งทำให้เราสามารถถ่ายท้องฟ้าออกมามีสีเข้มครับ หรือไม่ก็เยื้องๆ ซัก 45 องศาครับ แต่จริงๆ เป็นการกะเอานะครับ คงไม่มีใครเอาไม้โปรไปวัดองศาใช่มั้ย....



ระหว่างนั้นก็เดินไปเจอป้ายแผนที่บอกจุดท่องเที่ยวในตัวจังหวัด ก็เลยถ่ายมาให้เพื่อนๆดูครับ เผื่อมีใครจะมาเที่ยวที่นี่จะได้ดูจากแผนที่นี้ไปก่อนเลย


เดินเข้ามาก็จะมีเครื่องเอ็กซเรย์กระเป๋าครับ แต่ผมไม่กล้าถ่ายกลัวโดนจับ ข้อหาแอบถ่ายในที่สาธารณะ (เกี่ยวกันป่าว ><) เดินเลยเครื่องมาก็เห็นความอลังการนิดๆ เน้นว่านิดๆ ของสนามบินครับ เลยถ่ายเสยเลย รูปในนี้นี่ผมปรับ ISO สูงขึ้นมาถึง 800 ครับ ใช้ขาตั้งกล้องมันก็คงจะลำบากไปหน่อย เลยดัน ISO เอาครับ


ทางด้านขวาก็จะเป็นช่องจำหน่ายตั๋ว orient thai ครับ จะสังเกตุได้ว่ามีคุณลุงท่านหนึ่งไม่รู้เป็นตำรวจสนามบินรึเปล่า หรือแอบชอบผมหว่ายืนมองผมซะจนเขินเลยทีเดียว #^^#


นี่ก็เป็นรูปภายในสนามบินนะครับ ดูเหมือนกว้างแต่จริงๆ แล้วลักษณะตึกจะยาวครับ ความกว้างจะน้อยมากครับ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าแคบก็ได้ครับ


ชอบสโลแกนจัง Do it by heart ดีนะ ไม่เป็น heard ไม่งั้นคงใช้หูทำงานแทนแน่เลย 5555


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องครับ อ้อ ไม่ต้องแปลกใจนะครับ ทำไมในรูปมันอมเหลืองกันจัง ต้องบอกว่า ผมไม่ได้ปรับองศาเคลวินให้มันออกฟ้านะครับ อยากให้สถานที่มันออกเหลืองๆหน่อย ส่วนตัวเป็นคนชอบรูปโทน warm ครับ (จริงๆ ขี้เกียจปรับตะหาก ^^!)

นี่ก็เป็นห้องรับรองผู้โดยสารนะครับ นั่งรอเครื่องบินมาจอดป้ายครับ ก่อนจะเดินไปขึ้นกันเครื่อง ห้องนี้ดูโอ่อ่าดูดีเชียวครับ กว้างดีจริงๆ


ที่สนามบินดอนเมืองจะไม่ค่อยกล้าถ่ายมากครับคนเยอะ แต่ที่นี่นี่ผมละเลงยืนถ่ายสบายใจเลยครับ เอามาฝากเพื่อนๆ กัน ไม่ได้ดันสีอะไรมากมาย เดี๋ยวจะสวยเกิน ^o^


และสุดท้ายท้ายสุดก็เป็นคลิปวีดีโอที่ผมตัดต่อขึ้นจากการขึ้นเครื่องบินขากลับนี้นะครับ เดี๋ยวคราวหน้าคิดว่าคงจะทำคลิปที่มีประโยชน์(กว่านี้)แล้วครับ(อันนี้มันก็มีประโยชน์ครับแต่น้อย 555) อาจเป็นการแนะนำวิธีการใช้ Lightroom ก็ได้นะครับ เห็นมีน้องคนนึงถามถึงวิธีการใช้ ซึ่งต้องคอยติดตามนะครับ ว่าแต่เพื่อนๆ อยากให้ผมแนะนำโปรแกรมด้านการถ่ายภาพตัวไหนก็บอกได้นะครับ







ปล.ลืมบอกไปครับว่า ผมค่อนข้างโอเคกับบริการสายการบินนี้นะครับ พนักงานต้อนรับหน้าตายิ้มแย้มดีครับ (ลึกๆ จะด่าไรพวกเราผมไม่รู้หรอกครับ) แต่งานบริการต้องยิ้มเก่งครับ ซึ่งน้องๆ ทำได้ดีครับ (น่ารักด้วยครับ) ^^ อ้อ ผมหน้ายังเป็นมนุษย์ไม่ใช่หน้าม้านะครับ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรยาพาเพลินเหินเวหาสู่นครฯ

ในที่สุดการเดินทางจากกรุงเทพมหานครอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผมไปยังภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไปถ่ายงานบวชให้กับน้องชายก็สิ้นสุดลงครับ เป็นทริปที่เหนื่อยมาก แล้วก็สนุกมาก และที่สำคัญอิ่มบุญมากมายครับ ก็เลยนำผลบุญมาฝากเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้กันด้วยนะครับ

ต้องขอบอกอย่างตรงไปตรงมาและไม่อายเลยครับว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นเครื่องบินครับ ช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร(ทำเสียงหล่อ) ตอนเดินก้าวขึ้นเครื่องนั่งบนเก้าอี้ ต้องยอมรับครับว่าทั้งหนังทั้งเรื่องต่างๆ รวมถึงข่าวสารที่เกี่ยวกับเครื่องบินในแง่ต่างๆ (โดยเฉพาะแง่ลบ ที่คุณก็รู้ว่าหมายถึงอะไร) พรั่งพรูเข้ามาใส่หัวสมองผมเต็มไปหมด เริ่มจิตตกพอควรครับ เสียวๆ อยู่เหมือนกัน (ก็แหมหนังฮอลลีวู้ดแต่ละเรื่องมันช่างถ่ายทำมาได้สมจริงสมจังจนติดตาจริงๆ นี่นา) แล้วด้วยความที่เป็นครั้งแรกของช่างภาพอย่างผมไปทั้งทีจะไปเปล่าๆ ได้อย่างไรกัน ก็ถือว่าวันนี้ผมจะพาทุกท่านเที่ยวชมสนามบินดอนเมือง(ในปัจจุบัน) แล้วก็พาขึ้นเครื่องบินไปด้วยกันจนกระทั่งแลนดิ้งลงจอดเลยดีกว่าครับ แต่เดี๋ยวก่อน....เพียงคุณโทรเข้ามาในรายการ เอ๊ย....ไม่ใช่....ผมไม่ได้มาเล่าการเดินทางของผมอย่างเดียวนะครับ อยากให้มีอะไรติดไม้ติดมือจากการเดินทางไปกับผมครั้งนี้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจะแนะนำการถ่ายภาพแต่ละมุมแล้วก็บอกรายละเอียดการถ่ายภาพของผมไปทีเดียวละกันนะครับ เริ่มน่าสนใจนิดๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ พร้อมแล้วก้าวตามผมขึ้นมาเลยครับ

ผมเชื่อว่าหลายคนที่เคยนั่งเครื่องบินก็ต้องผ่านครั้งแรกกันมาแล้ว(ก็ถูกแล้วจะพูดทำไมว้า!) น่าจะจำความรู้สึกกันได้ดีนะครับ ว่ามันน่าตื่นเต้นขนาดไหน ยังเสียวไม่หายเลยครับ แต่สะดวกรวดเร็วมากมายจริงๆ จากขับรถเดินทาง 10 ชม. เหลือแค่ชั่วโมงเดียว เรามาออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มต้นรูปแรกเป็นประตูสำหรับผู้โดยสารขาออกนะครับ ผมไปถึง 11.50 . กะว่าจะไปเช็คอินก่อนชิลชิลซักชม.ครึ่งเพราะตามกำหนดการเครื่องออกตอน 12.30 แต่ที่ไหนได้ครับ ดัน delay ไป 1 ชม.ครับ นั่งรอเก้อกันเลยทีเดียว รูปแรกนี้มีรถแท๊กซี่จอดขวางอยู่เต็มไปหมดรอซักพักก็ออกบ้างจอดบ้าง เลยถ่ายมาติดแท๊กซี่นิดหน่อยครับ


นี่เป็นรูปประตูทางเข้าหน้าตรงครับ มีนางแบบประกอบด้วยสองคน ^^ ค่อนข้างคิดถึงบรรยากาศของที่นี่ตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ มาส่งน้าชายทำงานครับ ท่านเป็นมัคคุเทศก์ผมเลยต้องมาส่งท่านเพื่อมารับแขกญี่ปุ่นที่นี่บ่อยมากๆ


เข้ามาถึงก็จะเห็นฝั่งขวามือครับเป็นเค้าท์เตอร์จำหน่ายบัตร แสงในนี้ค่อนข้างมืดครับ จากตอนแรกใช้ iso 200 เข้ามาข้างในต้องดันกันถึง 800 เลยครับ เพื่อเอาสปีดให้พอถือด้วยมือได้ เลนส์ 10-22 นี่ perspective ได้ใจดีจริงๆครับ

ส่วนทางด้านฝั่งซ้ายครับเป็นเค้าท์เตอร์สายการบิน nok air


เดินเข้ามาจากประตูก็ต้องไปทางฝั่งด้านขวาครับ เพื่อไปเช็คอินแล้วก็รับตั๋วครับ ซึ่งจะมีเครื่อง x-ray กระเป๋าก่อนเลย แหม....เปอร์(สเป็กทีฟ) ได้ใจจริงๆ

เมื่อรู้ว่าเครื่องบินดีเลย์ไป 1 ชม.ผมก็แวะไปหากาแฟกินก่อนดีกว่า ก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งมาเจอบ้านนางฟ้าครับ (ไม่ใช่เรยานะครับ)

แหม...นางฟ้ากำลังเดินกันมาเลยทีเดียว แอร์สายการบินนกแอร์นี่เองหรืออีกชื่อเค้าเรียกกันว่าหางเหลืองครับ

และแล้วผมก็เดินเจอร้านกาแฟเพื่อมาหากาแฟเย็นแก้ง่วงซักแก้วจนได้ ร้านนี้แปลกดีครับใช้ชื่อร้านว่า Internet แต่พอถามหา wifi กลับบอกว่ายกเลิกนานแล้วน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Outernet แทน =*=!

นั่งเปิดนู่นอ่านนี่ไปแก้เซ็งฆ่าเวลาครับ นี่เป็นตั๋วเดินทางครับ อ้อลืมบอกไป ครั้งแรกของผมกับน้องโอครับ(โอเรียนท์ไทยนะครับ #^^#)

มาดูบรรยากาศชั้นล่างบ้างดีกว่าครับ อยากจะบอกว่าเงียบเหงาเหลือเกิน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน สนามบินที่เคยคึกคักที่สุดกลับกลายเป็นสนามบินที่เงียบเหงาที่สุดตั้งแต่มีสุวรรณภูมิ จะว่าไปก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่อนิจจังไม่แน่นอน มีเกิดก็ต้องมีดับ เอ๋า...ไปทางธรรมซะได้ #^^#


มาที่นี่ส่ิงหนึ่งที่จะเห็นเยอะพอควรก็คงหนีไม่พ้นป้้ายโฆษณาครับ ซึ่งเห็นแทบจะมีผูกขาดอยู่ป้ายเดียวก็คือของนกแอร์ครับ ไม่รู้จะสร้าง remind branding อะไรนักหนา

ป้ายโฆษณาของนกแอร์นี่ใหญ่ดีจริงๆครับ ถิ่นของเค้าเลยเชียว งบโฆษณาเยอะมาก เหอเหอ



พริตตี้ร้านกาแฟร้านนี้น่ารักจริงๆ #^^#

นั่งจนได้เวลาแล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องกันครับ อันที่มีคาดสีแดงนี่ไปหาดใหญ่ครับ ประกาศขึ้นเครื่องด่วนใหญ่เลย

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้วเราก็เข้าไปห้องสำหรับทางออกขึ้นเครื่องครับ


ข้างในช่างกว้างซะมากมายจริงๆ ครับ ยิ่งใกล้เวลาขึ้นเครื่องก็ยิ่งตื่นเต้นครับ

พอเข้าไปถึงข้างในผมก็เดินหามุมเลยครับ มองออกไปข้างนอกเห็นลานกว้างแต่เครื่องบินไม่อยู่แฮะ ว่าแล้วก็ยิงซักนัดดีกว่า อันนี้ถ่ายทะลุกระจกออกไปนะครับ สภาพแสงภายในกับข้างนอกต่างกันมากครับ ภายในสนามบินที่มีแสงน้อยผมใช้ที่ iso 800 ตลอด แต่พอจะถ่ายข้างนอกก็ต้องลด iso ลงนะครับเหลือแค่ 400 ครับ เน้นเอา f/stop ชัดลึกพอสมควรครับ แต่ไม่อยากให้มีเกรนภาพมาก อย่างในรูปผมใช้ที่ f/14 ครับสปีด 1/80 ช่วงเลนส์ที่ 10 mm กว้างสุดเลยครับ เลนส์ wide ต้องระวังเรื่องการ distortion ของภาพ แต่ด้วยความที่จุดที่ผมยืนเป็นจุดที่สูงครับ ระนาบของกล้องเลยค่อนข้างขนานกับพื้นพอสมควรครับ ทำให้อาการดิสทอชั่นของภาพน้อยครับ

และนี่ก็เป็นเครื่องบินที่ผมจะนั่งมันไปยังปลายทางโดยสวัสดิภาพครับ ซึ่งตอนนั้นเค้ากำลังโหลดของลงจากเครื่องครับ ทำเวลาเร่งกันพอสมควรเพราะดีเลย์ไปตั้ง 1 ชั่วโมงเลยครับ จากจุดนี้เราสามารถเห็นได้เลยครับ ว่าเค้ากำลังโยนกระเป๋ากันอยู่ ไม่ใชคำว่าโหลดกระเป๋านะครับมันสุภาพไปหน่อย รูปนี้ผมถ่ายออกไปจากกระจกนะครับ จะมีกระจกอีกชั้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมเป็นกรอบพอดี ก็เลยถ่ายออกไปยังงั้นเลยครับ ข้างนอกแสงค่อนข้างสว่างอยู่เลยปรับ ISO ลดลงมาเป็น 200 ครับ แล้วถ่าย 1/30 f/11 ครับ


หลังจากนั้นไม่นานเราก็ก้าวขึ้นเครื่องกันแล้วครับ ข้างนอกฝนตกพอดีเลยครับ พาให้ใจเสียนิดๆ แต่เอาวะสวดมนต์มาเรียบร้อยแล้วไม่เกรงกลัวภยันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ผมนั่งตรงปีกพอดีเลยครับ


ภายในห้องโดยสารครับ เบาะจะไม่ได้กว้างมากมายครับ ก็เป็นที่นั่งธรรมดาแล้วก็เครื่องบินลำเล็กครับ ติดเข่านิดๆ


หลังจากนั่งรอกันอยู่บนเครื่องบินอีกเกือบ 1 ชม. เครื่องก็เริ่มได้เวลาทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ สัญญาณรัดขัดเข็มดังขึ้น ตอนนี้เครื่องบินจะค่อนข้างเหมือน BTS มากๆ หวานเย็นมากมาย เพราะจะค่อยๆ ขับไปจอดตรงจุดทางม้าลายก่อนบินครับ(รู้ละเอียดมากเพราะว่านั่งมองอยู่ตลอด 55555) รู้สึกเพลินๆ ครับตอนนี้ หวานเย็นดี



เมื่อเครื่องบินได้สัญญาณบินก็เริ่มพุ่งขึ้นสู่ฟ้าครับ ความรู้สึกตอนนี้ตื่นเต้นมากๆจริงๆครับ ทั้งเสียงเครื่องบินและความเร็วในการออกตัว ทำไมมันไม่เหมือนเมื่อกี้เลยวะ T^T ทะยานขึ้นเร็วและแรงจริงๆครับ หลังจากนั้น 2-3นาทีเครื่องก็ทะยานสู่ฟ้าแล้วครับ

สังเกตุเส้นขอบฟ้ากับปีกนะครับ หัวมันชี้ขึ้นแบบได้ใจมากครับ เหอเหอ




จู่ๆ เนื้อเพลงก็ลอยเข้าหูครับ “ผิดก็ทำต่ำก็รู้อยากไปสู่วันที่ดี ให้ชีวิตนี้หลุดพ้นไปจากพื้นดิน ขวากหนามมากน้อยคอยกัน แต่ฝันของฉันคือบิน อยู่บนท้องฟ้าสักวัน” เรยามาเองเลยทีเดียว 55555 ตอนนี้อยู่บนฟ้าแล้วครับ ผมได้บินสมใจแล้ว ^^ ตอนนี้รูปที่ผมถ่ายผมปรับสปีดเป็น ISO 400 1/1000 เลยครับ f/10 เพราะผมไม่รู้เครื่องบินบินเร็วแค่ไหนเลยถ่ายไว้ที่สปีดสูงไว้ก่อนครับ


จากนั้นเราก็บินผ่านหมู่เกาะฮาวาย ตาฮิติ ปาปัวนิวกินี ไปยังศรีลังกาแล้ววนกลับมานครศรีธรรมราช เฮ้ยยย!


หลังจากนั้นเครื่องบินอยู่บนฟ้าซัก 10 นาทีก็มีขนมมาแจกครับ เย้!


แต่เอ๊ะ...นี่น้องพริตตี้ที่ร้านกาแฟนี่ ขึ้นมานั่งติดกับเราเลยแฮะ 5555 #^^#

และแล้วในที่สุด เราเดินทางมาเกือบชม.ก็กำลังแลนดิ้งลงจอดท่าอากาศยานนครศรีธรรมราชแล้วจ้า ขอบอกว่าตอนลงกัปตันทำเสียวพอควรเลยครับ ประกาศลงซักพักก็เอาหัวปักเลยครับ เสียวจี๊ดอ่ะ T^T


เมื่อแลนดิ้งลงสู่พื้น อิสระภาพก็กลับคืนมาอีกครั้ง โอ้ว...My Buddhist ขอบคุณพระ(พุทธ)เจ้า ที่ช่วยให้ลูกช้างเดินทางครั้งนี้โดยปลอดภัย สายการบินเค้าขอบคุณผู้โดยสารที่ใช้บริการ แต่ผมอยากจะขอบคุณเค้ามากกว่าที่ทำให้ผมเดินทางโดยสวัสดิภาพ ^^ ขอบคุณครับสายการบิน Orient Thai




สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าขากลับให้ฟังอีกทีนะครับ มีคลิปวีดีโอมาฝากด้วยครับ ตอนนี้ขอไปปั่นงานก่อนนะครับ ลูกค้ารองานอยู่หลายเจ้าเลย มัวแต่อู้ปั่นบล็อกอยู่นั่นแหละ555555